ในมุมที่ต้องขอบคุณ Tsunami

0
1807
views

ได้อ่าน FW อันนี้ แล้วต้อง อึ้ง และ ขอเก็บไว้เป็นอนุสรณ์ ประดับไดอารี่ไว้หน่อย

ดิฉันเป็นคนไทยคนหนึ่งที่มาเรียนอยู่อเมริกาค่ะ
ได้ติดตามข่าวคลื่นยักษ์ถล่มทางใต้ตลอด ด้วยความเศร้าสลด
กับสิ่งที่เกิดขึ้น แต่ต้องทำใจค่ะ
ว่านี่มันคือภัยธรรมชาติ ก่อนอื่นขอแสดงความเสียใจ
กับผู้ที่สูญเสีย ไม่ว่าจะเป็นบ้าน ทรัพย์สิน
โดยเฉพาะอย่างยิ่งท่านที่สูญเสียคนที่รักไป

ดิฉันได้ดูข่าวทางนี้ ไม่ว่าจะเป็น fox หรือ abc news
ชาวต่างชาติทุกคนกล่าวเป็นเสียงเดียวกันค่ะ
ว่าคนไทยมีความใจประเสริฐมากๆ จนดิฉันอดไม่ได้ค่ะ
ที่จะตั้งกระทู้นี้ขึ้นมา เพื่อบอกให้เพื่อนๆ
หรือประชาชนคนไทยทุกคน ที่ได้ช่วยเหลือผู้ประสบภัย
ได้รับทราบ

พวกเขาบอกว่า ถึงแม้จะเศร้ากับเหตุการณ์นี้
แต่ก็ดีใจที่มาประสบเหตุการณ์นี้ที่เมืองไทย
เพราะถ้าพวกเขาเกิดไปติดที่ประเทศอื่น
อาจจะไม่ได้รับการช่วยเหลือที่มากมายล้นหลามอย่างนี้

มีฝรั่งอยู่คนหนึ่งค่ะ
บอกว่าได้วิ่งหนีคลื่นมากับนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติและคนไทยคนอื่นๆ
ตัวเค้าเองขึ้นไปยืนอยู่ข้างบนได้แล้ว
และเห็นคนไทยคนหนึ่งที่วิ่งขึ้นมาด้วยกัน
กำลังพยายามเอื้อมมือไปคว้า ดึงลูกชาย อายุประมาณ 10-12
เห็นจะได้ ให้ขึ้นมาให้ได้
แต่คลื่นก็ซัดลงมาทำให้ลูกชายของเธอหลุดมือ
และถูกดูดกลับไปทางทะเลต่อหน้าต่อตา
..แน่นอนค่ะเค้าบอกว่า ผู้หญิงคนนั้นกรีดร้องแทบเสียสติ
แต่ฝรั่งคนนี้ก็เข้าไปปลอบค่ะ ว่าหลุดจากตรงนี้
แต่ไม่ได้หมายความว่าเขาจะตาย อาจมีคนช่วยเค้าไว้ได้
สักพักหนึ่งผู้หญิงคนนี้ก็สงบลง และหันไปช่วย
นักท่องเที่ยวคนอื่นๆค่ะ ที่บางคนบาดเจ็บ
หรือบางคนกำลังปีนขึ้นมาก่อนที่คลื่นระลอก 2 จะมา

ฝรั่งคนนี้นั่งมองเธออย่างประหลาดใจ ที่เธอ
ช่วยเหลือคนอื่นอย่างทุ่มเทมากๆ จนเขาบอกเธอว่า
พักก่อนเถอะ แต่ผู้หญิงคนนี้บอกว่า ไม่หรอก
คนบาดเจ็บมีเพิ่มมากขึ้นตลอดเวลา
แล้วเธอก็ถามฝรั่งคนนี้กลับว่า แล้วคุณล่ะ
บาดเจ็บตรงไหนหรือเปล่า

แน่นอนค่ะ เขาเล่าว่า เขาถึงกับตะลึง พูดไม่ออก
ในใจรู้สึกพองโต ไม่คิดเลยว่าคำพูดนี้
จะออกมาจากปากของผู้หญิงไทยตัวเล็กๆ
ที่พึ่งพรากกับลูกชายไปเมื่อกี๊ แต่ตอนนี้เธอเข้มแข็ง
และจิตใจประเสริฐมาก

และยิ่งไปกว่านั้น ไม่ได้มีแค่ผู้หญิงไทยคนนี้คนเดียว
ที่ช่วยคนเจ็บ เขาบอกว่า คนไทยที่ขึ้นไปอยู่บนเขานั้น
ช่วยเหลือกันทุกคน ให้คนแก่/คนเจ็บขี่คอ
โดยที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน แบ่งน้ำกันกินคนละอึก
ส่งต่อๆกัน จากมือต่อมือ จากปากต่อปาก

ฝรั่งอีกคนเล่าค่ะ
ว่าหลังจากพวกเขาลงมาที่จุดพักผู้ประสบภัยแล้ว
ปรากฎว่าอาหารขาดแคลนมากค่ะ มีชาวบ้านคนหนึ่ง
เป็นยายแก่ๆค่ะ เดินหอบมะละกอมาตะกร้านึง
แล้วค่อยๆปอกมันออก มือของเธอเหี่ยวและเปื่อยมากค่ะ
คงเป็นเพราะยางจากมะละกอ แต่เธอก็ไม่บ่นซักคำ
นั่งปอกต่อไป ทีละชิ้นๆ ด้วยดวงตาที่ใจดีมาก

และเธอก็ส่งเสียงเรียกเชิญชวนทั้งชาวไทยบอกต่อๆ ไป
ยังชาวต่างชาติที่ประสบภัย

ให้มาหยิบไปทานกันค่ะ คนเล่าบอกว่า
ถึงแม้ว่ามันจะไม่อิ่มท้อง
แต่ยายคนไทยคนนี้ก็ได้เติมใจของทุกคนที่อยู่ที่นั่น
ถึงแม้บางคนจะไม่ได้กิน แต่ทุกคนก็อิ่มใจกันมาก
ข่าวนี้ฝรั่งคนเล่าร้องให้ออกมาเลยค่ะ

ยังไม่รวมไปถึง เรื่องที่นักข่าวคนนึงพูดถึง คุณลุงอีกคน
ที่เมื่อรู้ว่าลูกและเมียหายไปกับคลื่น
ก็ได้เดินเท้าขึ้นไปทางเหนือไปหาญาติอีกเขตนึง 1 วัน 1 คืน
และช่วยกันทำอาหารกล่อง กันทั้งคืน
พอรุ่งเช้าก็ให้รถรับจ้างเอาอาหารใส่รถ
ลงมาที่จุดพักประสบภัย คุณลุงทำอย่างนี้ 3-4 รอบค่ะ
เค้าบอกว่าคุณลุงคนนี้จะไม่พูดอะไรกับใครค่ะ
มีแต่สายตาที่เศร้าสร้อย
พร้อมกับน้ำตาที่ไหลออกมาตลอดเวลา

และทุกครั้งที่พวกเขาหยิบของ ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้า อาหาร
ของเครื่องใช้ ขึ้นมาใช้แต่ละชิ้น ในใจมันก็ชื่นใจ
และเปี่ยมไปด้วยสุข ที่มันเกิดขึ้นในใจ
แม้จะเป็นของเล็กน้อย ของมือสอง
แต่มันมีก็ประเมินค่าได้สูงมากต่อจิตใจ และเขาก็ไม่ลืม
ที่จะขอพรให้กับผู้ที่บริจาคของมาให้พวกเขา
ว่าท่านเป็นผู้ที่ประเสริฐมาก

ขณะนี้ ชมรมคนไทยที่นี่ก็ได้ตั้งมูลนิธิ ช่วยกันบริจาค
ทั้งเงินและของแล้วค่ะ (แต่เน้นเงินมากกว่า
เพราะมันแปลงเป็นอะไรได้เยอะ และง่ายต่อการส่งไป
ทุกคนที่งานก็มีแต่คนแสดงความห่วงใย
และเป็นห่วงผู้ประสบภัยมากๆ

ที่งาน มีฝรั่งคนนึงค่ะ พูดขึ้นมาว่า

“อาวุธที่ร้ายแรงของคนไทย คือความสามัคคี”

ทุกคนที่ได้ยิน ยืนน้ำตาซึมเลยค่ะ

ดิฉันแค่อยากจะฝากบอกสำหรับผู้ที่บริจาค
และช่วยเหลือผู้ประสบภัยทุกท่าน ว่าคุณสุดยอด
ขอให้คุณรู้ว่าทุกอย่าง ไม่ว่ามันจะมากมายหลายบาท
ไม่ว่าจะ หยดเลือด ของใช้ หรือจะแค่เงิน 1 บาท
ที่คุณให้เค้าไป มันถึงเค้าค่ะ มันถึงเค้าจริงๆ
ถึงไปถึงหัวใจเลยค่ะ

มันแสดงให้ถึงว่าเมื่อเกิดเหตุการณ์เลวร้ายขึ้น
คนไทยก็ยังไม่ทิ้งกัน ซ้ำยังช่วยอย่างสุดๆเลยค่ะ

ถึงตอนนี้ ดิฉันก็ยังติดตามข่าวอยู่ตลอด
เปลี่ยนช่องไปเรื่อยๆ ช่องนี้หมดข่าวก็เปลี่ยนไปช่องอื่น
้ถ้าไม่มีมันใจร้อน ก็ต้องเปิด tv online
ดูทางนี้แหละค่ะ

ดิฉันขอให้ผู้ที่เสียชีวิตไปสบายสู่สุขคติ
ส่วนคนที่ยังมีชีวิตอยู่ ก็ต้องอยู่ต่อไปแบบคนมีชีวิตค่ะ
ยังมีคนที่ต้องการคุณนะคะ
คุณเป็นคนพิเศษที่โชคดีกว่าคนอื่นมากค่ะ

ขอทุกคนให้รักกันมากๆนะคะ

ได้ไปบริจาคโลหิตและช่วยเป็นอาสาสมัคร (ล่าม
ที่สภากาชาดไทย
ขอยืนยันตรงนี้อีกทีครับถึงคุณค่าแห่ง “น้ำใจ”
ของพี่น้องร่วมโลก…ยิ่งใหญ่เกินจะบรรยายจริง ๆ
แถวของคนที่แสดงความจำนงขอบริจาคโลหิตยาวมาก
แต่ทุกคนก็ยังคงยืนรอเวลาแบบไม่ย่อท้อ..

มีนักเรียนหญิงกลุ่มหนึ่ง มากัน 4 คน
แต่บริจาคได้คนเดียว ที่เหลือยืนรอบเตียง
กุมมือและพูดให้กำลังใจที่เพื่อนที่นอนให้เลือด
หลับตาปี๋อยู่
สังเกตุว่าเธอกลัว หน้าซีด
ตัวสั่น…แต่ที่ยิ่งใหญ่กว่าความกลัวคืออะไร..

มีอยู่ช่วงหนึ่ง..
เจอชาวต่างชาติสองคนเดินเข้ามาแจ้งความจำนงขอบริจาคโลหิต
แต่ไม่สามารถบริจาคได้เพราะอายุเกิน(อายุ 70 และ 72 ปี
เขาก็พยายามบอกว่าร่างกายยังแข็งแรง
(พร้อมเบ่งกล้ามให้เจ้าหน้าที่ดู
เราก็ได้แต่บอกว่าขอบคุณในน้ำใจและความตั้งใจของเขา

ต่อมามีน้องผู้หญิงคนหนึ่งอายุ ประมาณ 10 ขวบ
มากับคุณแม่ที่เข้าแถวรอบริจาคโลหิตอยู่
เธอเดินเข้ามาถามผมด้วยสีหน้าและแววตาที่มุ่งมั่นจริงๆ ว่า

หนูจะบริจาคเลือดได้มั๊ย..บอกเธอไปว่าหนูอายุยังไม่ถึง…
เอาไว้หนูโตกว่านี้ก่อนแล้วกันนะจ๊ะ..

…เธอยังถามต่อด้วยคำถามที่เราแทบน้ำตาร่วงด้วยความตื้นตันว่า
“แล้วอย่างหนูนี่จะช่วยอะไรได้บ้าง…”
หนูเอ๋ย..น้ำใจหนูช่างประเสริฐแท้….
……..ขอบคุณคุณพ่อคุณแม่

ครูบาอาจารย์ที่สอนเธอให้รักและเห็นใจเพื่อนมนุษย์…
โดยเฉพาะในยามยาก

คำพูดที่ว่า “โลกทั้งผองพี่น้องกัน”
ไม่ใช่แค่พูดให้สวยหรู

วันนี้เรายืนยันคำพูดนี้ด้วยการร่วมแสดงน้ำใจต่อเพื่อนพี่น้องที่สูญเสีย…
แบบไม่แบ่งแยกเชื้อชาติ

ศาสนา และเพศวัย..
..ขอบคุณสำหรับน้ำใจ
ภูมิใจที่ได้เกิดเป็นไทย